tag:blogger.com,1999:blog-44231783225135260572024-03-13T22:27:29.102-07:00Pakarang_DPakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.comBlogger21125tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-39518946154905503772010-02-07T01:24:00.001-08:002010-02-07T01:46:14.364-08:00ชีวิตของหนู<embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fpakarang1989%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26access%3Dpublic%26psc%3DF%26q%26uname%3Dpakarang1989" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"></embed>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-88426896598374418352010-01-31T23:59:00.000-08:002010-02-01T07:11:17.006-08:00แนะนำตัวเอง<span style="color:#3366ff;"></span><br /><div align="center"><br /><span style="color:#6666cc;"><span style="font-size:180%;">แนะนำตัวเอง</span> </span></div><p align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 145px; DISPLAY: block; HEIGHT: 177px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433184328122497298" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDmtJV7g8TV-XekBrfTC0JveJNFHULtk5GWQaQZ0o1FRjKTxtyZC4Fk7KI7TVR7d-LguBWnKPeZQTAfxeq8yGXV20uOmOzfASsmMMGYSMIdXZUZ2R2D-JsEONkDpRlUqE8kS-gvzzYsqEM/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A20389.jpg" /></p><span style="color:#3333ff;">ชื่อ นางสาวปะการัง เดชภูมี<br /></span><br /><span style="color:#33cc00;">ชื่อเล่น ลูกเกด<br /></span><br /><span style="color:#cc9933;">เกิดวันที่ 9 เมษายน 2532</span><br /><br /><span style="color:#33ffff;">อายุ 20 ปี</span><br /><br /><span style="color:#ffcc66;">เป็นลูกคนที่ 1 จำนวน 1 คน</span><br /><br /><span style="color:#66ff99;">พ่อทำงานกรมที่ดิน แม่ประกอบธุรกิจส่วนตัว<br /></span><br /><span style="color:#cc9933;">มีสัตว์เลี้ยง คือ สุนัข 2 ตัว ปลาโกเมท 5 ตัว ปลาทอง10 ตัว ปลารักเล่ห์ 2 ตัว ปลาเทวดา 1 ตัว ปลาบอลลูน 30 ตัว ปลาหมอฟ้าลาย 4 ตัว นกเขาอีก 8 ตัว<br /></span><br /><span style="color:#33ffff;">ชั้น ประถม 1-6 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จ.อุดรธานี<br />ชั้น มัธยม 1-6 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี<br />ชั้น อุดมศึกษา คณะสาธารณสุขศาสตร์ เอกโภชนาการและการจัดการความปลอดภัยในอาหาร จ.มหาสารคาม</span> <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 270px; DISPLAY: block; HEIGHT: 250px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433291566203254770" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_AkBY28rju8HDkc8kJKpaHbm2yopp8_7HqLO0CmoXMrJ82dRiDcV3vdsxFmXBC0yDtbucrRjPTtk0n-XhgzjB4YnX7jfWeET9I2LIqr1OaRJQC8tU0GDmT5AiKP3Bzyla-bF75edpRAWN/s320/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95.gif" />Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-4468930114372354252010-01-24T23:31:00.000-08:002010-01-31T02:16:21.491-08:00รูปแบบประเภทของเว็บไซต์ E-Commerce<div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color: rgb(255, 153, 255); ">รูปแบบประเภทของเว็บไซต์ E-Commerce</span></div><img src="http://snaturbysrithai.com/blog/tussanapak/files/2009/12/ecommerce_28_1.jpg" /><br /><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color: rgb(102, 102, 204); ">1. การประกาศซื้อ-ขาย (E-Classified)</span></div><span class="Apple-style-span" style="color:#6666CC;"><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">เป็นรูปแบบเว็บไซต์ E-Commerce ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจประกาศความต้องการ ซื้อ-ขาย สินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์จะทำหน้าที่เหมือนกระดานข่าวและตัวกลางในการแสดงข้อมูลสินค้าต่างๆ และหากมีคนสนใจสินค้าที่ประกาศไว้ ก็สามารถติดต่อตรงไปยังผู้ประกาศได้ทันทีจากข้อมูลที่ประกาศอยู่ภายในเว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่จะมีการแบ่งหมวดหมู่ของประเภทสินค้าเอาไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าไปเลือกซื้อ-ขายสินค้าในเว็บไซต์ เช่น www.ThaiSecondhand.com การซื้อขายรูปแบบนี้ ผู้ขายไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ของตัวเองเลย แค่อาศัยพื้นที่ของเว็บที่เปิดโอกาสให้ประกาศขายของ ก็สามารถเริ่มต้นการค้าขายได้แล้ว ข้อดีเริ่มต้นได้ง่ายทันที ฟรี ข้อเสียคือไม่เหมาะกับผู้ที่มีสินค้าเป็นจำนวนมากๆ</div></span><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><img src="http://www.weerapat.net/wp-content/uploads/2009/10/ecommerce-300x243.jpg" /></div><span class="Apple-style-span" style="color:#333399;"><div style="text-align: center;">2. เว็บไซต์แคตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (Online Catalog Web Site)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">เป็นรูปแบบจัดทำเว็บไซต์ E-Commerce ในรูปแบบแคตตาล็อกออนไลน์ ที่มีรูปภาพและรายละเอียด สินค้าพร้อมที่อยู่เบอร์โทรติดต่อ ไม่มีระบบการชำระเงินผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบช้อปปิ้งการ์ด (ตะกร้าสินค้าออนไลน์) โดยหากผู้สนใจสินค้าก็เพียงโทรสอบถามและสั่งซื้อสินค้าได้ ซึ่งเป็นการใช้เว็บไซต์เป็นเหมือนโบรชัวร์หรือแคตตาล็อกออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกดูรายละเอียดสินค้าและราคาได้ จากทั่วประเทศหรือทั่วโลกผ่านทางเว็บไซต์ ข้อดีของเว็บแบบนี้คือ สร้างได้ง่ายเหมาะกับการค้าในพื้นที่หรือประเทศเดียวกัน ข้อเสียคือ ไม่สามารถขายและรับเงินได้ทันทีจากลูกค้า ที่ต้องการชำระเงินผ่านเว็บไซต์</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">ซึ่งโดยส่วนใหญ่กว่า 70% ของเว็บไซต์ E-Commerce ในประเทศไทยจะเป็นเว็บไซต์ในลักษณะนี้ เพราะด้วย รูปแบบเว็บไซต์สามารถจัดทำได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อนมากนัก ทำให้สามารถเริ่มต้นทำได้ง่าย เช่น www.PlatinumPDA.com</div></span><div style="text-align: center;"><img src="http://bawaal.com/blog/wp-content/uploads/2009/06/e-commerce1.jpg" /></div><span class="Apple-style-span" style="color:#FF9966;"><div style="text-align: center;">3. ร้านค้าออนไลน์ (E-Shop Web Site)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">เป็นรูปแบบเว็บไซต์ E-Commerce สมบูรณ์แบบ ที่มีทั้งระบบการจัดการสินค้า ระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ระบบการชำระเงิน รวมถึงการขนส่งสินค้า ครบสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อสินค้าและทำการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้ทันที โดยการชำระเงินส่วนใหญ่สามารถชำระเงินผ่าน บัตรเครดิต เป็นส่วนมาก</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">ในการจัดทำเว็บไซต์ลักษณะนี้ จะต้องมีระบบหลายๆ อย่างประกอบอยู่ภายใน ทำให้มีความซับซ้อนและมีรายละเอียดในการจัดทำค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้ก็มีเว็บไซต์ E-Commerce สำเร็จรูป ที่พร้อมใช้บริการและมีทุกอย่างพร้อมสรรพ ทำให้สามารถเริ่มต้นทำเว็บลักษณะนี้ได้อย่างรวดเร็ว หากท่านสนใจ ร้านค้าออนไลน์ สามารถสมัครใช้บริการฟรี ได้ที่ www.TARADquickwe.com</div></span><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><img src="http://www.silverspurs.info/market/images/stories/fruit/ist2_6184912-e-commerce.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br /></div><span class="Apple-style-span" style="color:#996633;"><div style="text-align: center;">4.การประมูลสินค้า (Auction)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">เป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีรูปแบบของการนำสินค้าของไปประมูลขายกัน โดยจะเป็นการแข่งขันใน การเสนอราคาสินค้า หากผู้ใดเสนอราคาสินค้าได้สูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด ก็จะชนะการประมูลและสามารถซื้อสินค้าชิ้นนั้นไปได้ ด้วยราคาที่ได้กำหนดไว้ โดยส่วนใหญ่สินค้าที่นำมาประมูล หากเป็นสินค้าใหม่ ซึ่งหลังการประมูลสินค้าจะมีราคาที่ไม่สูงกว่าราคาท้องตลาด ยกเว้นสินค้าเก่า บางประเภท หากยิ่งเก่ามากยิ่งมีราคาสูง เช่น ของเก่า ของสะสม เป็นต้น เช่น http://auction.tarad.com, www.ebay.com</div></span><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><img src="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:saDDwGYcOV8sIM:http://www.getentrepreneurial.com/images/ecommerce.jpg" /></div><span class="Apple-style-span" style="color:#009900;"><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">5.ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Marketplace)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;">เป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีรูปแบบเป็นตลาดนัดขนาดใหญ่ โดยภายในเว็บไซต์จะมีการรวบรวมเว็บไซต์ของร้านค้าและบริษัทต่างๆ มากมาย โดยมีการแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าเอาไว้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าไป ดูสินค้าภายในร้านค้าต่างๆ ภายในตลาดได้อย่างง่ายดายและสะดวก โดยรูปแบบของตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ บางแห่งมีการแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ตามลักษณะของสินค้าที่มีอยู่ภายในตลาดแห่งนั้น เช่น ตลาดสินค้าทั่วไป www.TARAD.com เว็บไซต์ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับอาหาร www.FoodMarketExchange.com เว็บไซต์ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ของสินค้า OTOP อย่าง www.thaitambon.com เป็นต้น</div></span><div style="text-align: center;"><img src="http://webhostingpattaya.com/i/web_hosting_pattaya_ecommerce.jpg" /></div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><br /></div><span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;"><div style="text-align: center;">ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก http://www.pawoot.com/node/327</div></span>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-58545161421636653702010-01-24T23:10:00.000-08:002010-01-24T23:31:23.631-08:00วิธีการเริ่มต้นทำ E-Commerce<div align="center"><br /><span style="font-family:verdana;"><strong><span style="color:#339999;">วิธีการเริ่มต้นทำ E-Commerce</span></strong><br /><br /><img height="167" src="http://www.mwp4rich.co.cc/wp-content/uploads/2009/07/ecommerce.jpg" width="242" /><br /><span style="color:#33cc00;">ในการเริ่มต้นทำ E-Commerce ขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ไปยังคนทั่วโลกมีหลายรูปแบบ ท่านสามารถเริ่มต้นได้ด้วยงบลงทุนหลายๆ ขนาด ตั้งแต่เริ่มต้นด้วยไม่ถึงพันบาท จนไปถึง เป็นหลักแสนบาทได้ หรือ จะเริ่มต้นแบบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยซักบาท ก็สามารถทำได้ โดยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ขอบเขตและรูปแบบของ E-Commerce ที่คุณต้องการจะทำ ว่ามีรายละเอียดและการตอบสนองต่อธุรกิจคุณได้มากน้อยแค่ไหน โดยรูปแบบของอีคอมเมิร์ซที่สามารถเริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ มีหลายรูปแบบได้แก่</span><br /><br /><img src="http://blog.spu.ac.th/home/blog_data/12/3012/images/ecom/ecommerce_360.jpg" /><br /><span style="color:#ff9966;">1. การทำ E-Commerce โดยที่ไม่ต้องมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง<br />สำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขายสินค้าออนไลน์ หรือมีสินค้าจำนวนไม่มากและไม่กี่ประเภท คุณสามารถค้าขายในโลกออนไลน์อย่างง่ายๆ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ของตัวเองเลย เพราะคุณสามารถนำข้อมูลสินค้าหรือบริการของคุณไปลงประกาศไว้ตามเว็บไซต์ที่ให้บริการ ประกาศซื้อ-ขายสินค้าได้ฟรีๆ (E-Classified) หรือตลาดกลางสินค้า (E-Marketplace) เช่น www.ThaiSecondhand.com โดยที่คุณไม่จำเป้นต้องมีหน้าเว็บไซต์เลย เพราะหลังจากคุณลงประกาศข้อมูลลงไปแล้ว คุณก็จะมีหน้าแสดงข้อมูลสินค้าคุณง่ายๆ ของคุณเอง และข้อมูลประกาศสินค้าชิ้นนั้นก็จะแสดงอยู่ใน เว็บไซต์นั้นๆ ซึ่งเว็บไซต์ลักษณะนี้จะมีคนเข้ามาเป็นจำนวนมากหลายแสนคน ทำให้คุณมีโอกาสขายสินค้าออกไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ได้ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยซักบาท<br /><br />ลักษณะนี้เหมาะสำหรับ<br />- ผู้เพิ่งเริ่มต้นและอยากทดลองการขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต E-Commerce<br /><br />- ผู้ที่มีสินค้าที่ไม่มากและไม่กี่ประเภท<br /><br />- ผู้ที่มีเว็บไซต์อยู่แล้วและต้องการทำโฆษณาขายสินค้าของตนให้คนอื่นๆ รู้จักมากขึ้น<br /><br /><br />ข้อดี ของการทำอีคอมเมิร์ซโดยที่ไม่ต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง<br /><br />- ฟรี.! ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นทำ<br /><br />- สะดวก ทำได้ด้วยตัวเองได้ทันที.!<br /><br />- เข้าถึงคนนับล้านคนได้ทันที เพราะส่วนใหญ่เว็บลักษณะนี้จะมีคนเข้ามาใช้บริการมากอย่แล้ว<br /><br />- ถ้าขยันประกาศ ทุกวัน หรือไปซื้อโฆษณาประกาศค้างเอาไว้เลย ยิ่งมีโอกาสการขายมากขึ้น<br /><br />ข้อเสีย ของการทำอีคอมเมิร์ซโดยที่ไม่ต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง<br /><br />- เว็บไซต์ลักษณะนี้จะใส่ข้อมูลสินค้าได้ไม่มากจำกัด และใส่ได้ทีละรายการ<br /><br />- ต้องเข้ามาลงประกาศอยู่เสมอ เพราะหน้าเว็บไซต์ลักษณะนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลอยู่ตลอดเวลา (ทำให้ประกาศสินค้าของคุณหล่นไปอยู่ด้านล่างๆ หรือหายไป ดังนั้นต้องเข้ามาลงประกาศบ่อย ๆเพื่อให้คนเห็นสินค้าของคุณ)<br /><br />- ไม่มีชื่อเว็บเป็นของตนเอง ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าอีกภายหลังได้ยาก ซึ่งหากมี โดเมนเป็นของตนเองจะสะดวกกว่า<br /></span><br /><img style="WIDTH: 292px; HEIGHT: 189px" height="132" src="http://blog.spu.ac.th/home/blog_data/12/3012/images/ecom/art-20080522-171644.jpg" width="326" /><br /><span style="color:#cc33cc;">2. การมีเว็บไซต์ E-Commerce เป็นของตัวเอง<br />สำหรับท่านที่มีสินค้าเป็นจำนวนมาก และมีหลายประเภท คุณอาจจะต้องการมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง เพื่อใส่ข้อมูลสินค้าที่มีมากมายหลากหลายประเภท อยู่ในเว็บไซต์คุณ เพราะข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้อยู่ในเว็บไซต์คุณทั้งหมด เพื่อสะดวกต่อลูกค้าในการเข้ามาค้นหาสินค้าหรือซื้อสินค้าของคุณ<br /><br />ข้อดีของการมีเว็บไซต์ เป็นของตัวเอง<br /><br />- มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง มีชื่อ URL หรือ Domain เป็นของตนเอง ทำให้จดจำได้ง่าย<br /><br />- ใส่ข้อมูลสินค้าได้มาก ลงลึกในรายละเอียดสินค้าแต่ละรายการ<br /><br />- สามารถเพิ่มระบบชำระเงินที่สามารถ ชำระเงินผ่านเว็บได้ทันที ผ่านบัตรเครดิตหรือธนาคารโดยตรง<br /><br />- ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมในสิ่งที่คุณต้องการได้ไม่จำกัด<br /><br />ข้อเสียของการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง<br /><br />- ต้องมีการจัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาก สำหรับของคุณโดยเฉพาะ<br /><br />- ต้องคอยมานั่งดูแล บริหาร จัดการ เว็บไซต์ โดยอาจจะต้องจ้างหรือจัดทำเอง<br /><br />- บางแห่งต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดทำ<br /><br />- บางครั้งต้องทำการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์เพื่อให้ลูกค้ารู้จักเว็บไซต์ของเรา (ซึ่งใช้เวลา-ค่าใช้จ่าย)<br /></span><br /><span style="color:#3333ff;">ขอขอบคุณข้อมูลดีดี จาก http://www.pawoot.com/node/117</span> </span></div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-62688150680206708102010-01-23T22:37:00.000-08:002010-01-23T23:40:37.348-08:00คุณครูของหนู<p align="center"><img src="http://www.naewna.com/cgi-bin/16-1-2008/ครู.jpg" /></p><br /><br /><span style="color:#ff9900;"> ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน; ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ<br /></span><br /><br /><p align="center"><img src="http://learners.in.th/file/malisa69/preview/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9.jpg" /></p><br /><br /><span style="color:#3366ff;">ความเป็นมา<br />วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้<br /><br /></span><span style="color:#3366ff;"></span><p align="center"><img style="WIDTH: 211px; HEIGHT: 253px" src="http://law.eau.ac.th/activity_files/at005.jpg" width="354" height="1403" /></p><br /><span style="color:#33cc00;">การจัดงานวันครู<br />การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ<br /><br />การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ 1. กิจกรรมทางศาสนา<br />2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์<br />3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น<br /><br />ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้<br />รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์<br /></span><br /><br /><p align="center"><img style="WIDTH: 486px; HEIGHT: 291px" src="http://happysmile.anamai.moph.go.th/nitan/love/love06.jpg" width="486" height="504" /></p><div align="center"><br /><span style="color:#6600cc;">กลอนวันครู<br /><br />ใครคือครูครูคือใครในวันนี้<br />ใช่อยู่ที่ปริญญญามหาศาล<br />ใช่อยู่ที่เรียกว่าครูอาจารย์<br />ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน<br /><br />ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด<br />ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน<br />ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียร<br />ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน<br /><br />ครูคือผู้ยกระดับวิญญานมนุษย์<br />ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน<br />ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์<br />มีดวงมานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง<br /><br />ครูจึงเป็นนักสร้างผู้ใหญ่ยิ่ง<br />สร้างคนจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง<br />สร้างคนให้ได้เป็นตัวของตัวเอง<br /><br />อันคุณครูคำนี้มีความหมาย อันหลากหลายคำพูดจะกล่าวถึง<br />คือผู้ให้ทรัพย์วิชาน่าคำนึง คือผู้ซึ้งอบรมให้ทำดี<br />อีกครูนี้เหมือนพ่อแม่คนที่สอง ครูจึงต้องอดทนต่อหน้าที่<br />เพียรสั่งสอนเป็นแม่พิมพ์ศิษย์มากมี เรือจ้างนี้น้ำใจงามนามว่าครู<br /><br />คำว่า " ครู "เปรียบไว้ได้หลายอย่าง<br />เปรียบ"เรือจ้าง"รับส่งผู้โดยสาร<br />ให้พ้นห้วงมหาชลาธาร<br />ได้ข้ามผ่านถึงฝั่งสมตั้งใจ<br /><br />เปรียบ"แม่พิมพ์"กล่อมเกลาเฝ้าหล่อหลอม<br />ทั้งโอบอ้อมการุณย์หนุนนำให้<br />ปลูกฝังซึ่งคุณธรรมผ่องอำไพ<br />ให้ก้าวไปตามครรลองของชีวา<br /><br />เปรียบ"แสงเทียน"ส่องสว่างทางมืดมิด<br />เพื่อให้ศิษย์แจ่มกระจ่างทางศึกษา<br />จากไม่รู้ทั้งเขลาเบาปัญญา<br />กลับเก่งกล้าเลิศล้ำเพราะพร่ำเรียน<br /><br />คือ"ปูชนียบุคคล"เปี่ยมล้นค่า<br />ควรบูชาเคารพนบนอบเศียร<br />ทั้งกายใจจิตวิญญาณท่านเฝ้าเพียร<br />เพื่อนักเรียนเติบใหญ่นั้นได้ดี<br /><br />ขอทดแทนบุญคุณที่หนุนเนื่อง<br />ชาติรุ่งเรืองเพราะคุณครูกู้ศักดิ์ศรี<br />พร้อมอุทิศใจกายหมายมอบพลี<br />เป็นคนดีที่น่ายลชนชื่นชม<br /><br />ร่วมเชิดชูครูไทยด้วยใจมั่น<br />ที่สร้างสรรค์บ่มเพาะความเหมาะสม<br />ในวันครูที่สิบหกมกราคม<br />ขอกราบก้มไหว้ครูดีศรีแผ่นดิน<br /><br />ขอขอบคุณที่มาของ กลอนวันครู จาก : jkrolling จาก dreampoem.com</span> </div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-12271750799810523402010-01-17T22:46:00.000-08:002010-01-21T21:44:46.255-08:00Happy new year 2010<div align="center"><span style="color:#ff6666;">"สวัสดีปีใหม่ 2553" : "happy new year 2010"</span><br /><br /><embed height="192" type="application/x-shockwave-flash" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" width="288" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fpakarang1989%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26access%3Dpublic%26psc%3DF%26q%26uname%3Dpakarang1989"></embed><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff9966;">สถานที่น่าเที่ยว.....ในประเทศ</span><br /></div><p align="center"><img style="WIDTH: 326px; HEIGHT: 206px" src="http://travel.mthai.com/uploads/2009/12/23/3624-3.jpg" width="468" height="320" /></p><div align="center"><br /><span style="color:#ffff66;">สถานที่จัดงาน : บริเวณลานน้ำพุ ด้านนอกของคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร</span><br /><br /><img src="http://travel.mthai.com/uploads/2009/12/23/3625-2553_central_world.jpg" width="328" height="169" /><br /><span style="color:#ffff33;">ย่านราชประสงค์ @Central World</span><br /><br /><img src="http://statics.atcloud.com/files/comments/133/1333167/images/1_display.jpg" /><br /><span style="color:#66ff99;">ขอพรช้างเอราวัณ</span><br /><br /><img style="WIDTH: 327px; HEIGHT: 244px" src="http://www.malibu-travel.com/inter/images/upload/image/gallery/yod/Amazing%20Thailand/phukradung.jpg" width="327" height="310" /><br /><span style="color:#33ffff;">อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เชียงใหม่</span><br /><br /><img style="WIDTH: 334px; HEIGHT: 207px" src="http://www.teedindd.com/home/components/com_joomlaboard/uploaded/images/00765_10.jpg" width="318" height="209" /><br /><span style="color:#66ffff;">ปาย แม่ฮ่องสอน</span><br /><br /><img style="WIDTH: 328px; HEIGHT: 175px" src="http://images.palungjit.com/attachments/11969-ภูชี้ฟ้า-เชียงราย-10-jpg" width="218" height="471" /><br /><span style="color:#9999ff;">ภูชี้ฟ้า เชียงราย</span><br /><br /><img style="WIDTH: 303px; HEIGHT: 214px" src="http://esan108.com/Photo/phataem/258254816132.jpg" width="326" height="402" /><br /><span style="color:#9999ff;"><span style="color:#ff99ff;">ผาแต้ม อุบลราชธานี</span><br /></span><br /><img style="WIDTH: 386px; HEIGHT: 210px" src="http://www.thaidphoto.com/forums/attachment.php?s=119b851731aef8e2e121126dc8b6f7b8&attachmentid=282808&stc=1&d=1227027345" width="234" height="496" /><br /><span style="color:#339999;">มอหินขาว ชัยภูมิ</span><br /><br /><img style="WIDTH: 401px; HEIGHT: 229px" src="http://www.thaidphoto.com/forums/attachment.php?s=119b851731aef8e2e121126dc8b6f7b8&attachmentid=302154&stc=1&d=1231058344" width="314" height="268" /><br /><span style="color:#ffcc33;">เขาใหญ่ นครราชสีมา</span> </div><div align="center"> </div><div align="center"><span style="color:#330099;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก </span><a href="http://travel.mthai.com/view/40550.travel"><span style="color:#330099;">http://travel.mthai.com/view/40550.travel</span></a></div><div align="center"><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://statics.atcloud.com/files/comments/133/1333167/images/1_display.jpg&imgrefurl=http://atcloud.com/stories/73401&usg=__pRg4RtfjQNFndfN0Z6nU3CvQh74=&h=215&w=315&sz=32&hl=th&start=8&sig2=F-5ffWsFARV39OgVimegfw&um=1&tbnid=vdbWKb4NnzhLyM:&tbnh=80&tbnw=117&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2593%26hl%3Dth%26sa%3DG%26um%3D1&ei=XilZS73LH47u7APlidH_Dw"></a> </div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-50196165954211516572010-01-17T00:41:00.000-08:002010-01-17T00:45:48.541-08:00นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน<div align="center"><span style="font-size:180%;color:#339999;">นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน </span></div><div align="center"><span style="color:#339999;"><span style="color:#33ffff;">นิทานพื้นบ้าน ที่พบในภาคอีสาน มีมากมายหลายร้อยเรื่อง ซึ่งเมื่อแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ จะได้ ๒ ประเภท (ความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง) ดังนี้นิทานวรรณคดี เป็น นิทานขนาดค่อนข้างยาว ถึงยาว ซึ่งมีผู้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือจารลงใบลาน โดยมาก มักแต่งเป็นคำกลอนอีสาน ซึ่งบางครั้งเมื่อนำมาเล่าใหม่ นิยมเรียบเรียงใหม่เป็นร้อยแก้ว เพื่อให้อ่านง่ายนิทานประเภทวรรณคดีนี้ มีวิธีถ่ายทอดสู่ชาวบ้าน ๓ วิธีใหญ่ ๆ คือ</span><br /><span style="color:#33cc00;">พระภิกษุสามเณร นำมาเทศน์ในงานบุญออกพรรษา โดยแต่ละปีจะมีการกำหนดว่า ออกพรรษาปีนี้ จะเทศน์เรื่องอะไร ซึ่งแต่ละวัด จะมีหนังสือใบลานวรรณคดีนิทานเรื่องต่างๆ เก็บไว้ พอถึงงานบุญออกพรรษา ก็จะเตรียมหนังสือใบลานนิทานเรื่องนั้นๆ ไว้ สำหรับพระภิกษุสามเณร ทั้งวัดนั้น ทั้งวัดอื่นๆ เวียนสลับมาอ่าน(เทศน์) ให้พ่อออก แม่ออกฟัง จนหนังสือหมดผูก หรือนิทานจบ</span><br /><span style="color:#999900;">นักปราชญ์ผู้สามารถในการแต่งกลอนลำ นำไปแต่งเป็นกลอนลำ แล้วให้หมอลำเป็นผู้ถ่ายทอด เล่าเรื่องราวนิทานนั้นๆ เช่นหมอลำพื้น (มีคนลำเพียงหนึ่งคน ทำหน้าที่เป็นตัวละครทั้งหมด ใช้เสียง ผ้า และเครื่องแต่งกายประกอบการแสดง) หมอลำเรื่องต่อกลอน เป็นต้น<br />คนเฒ่าคนแก่ (ซึ่งได้ฟังลำ หรือได้ฟังเทศน์จากพระ หรือผู้ที่สึกจากพระ) นำมาเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง ให้เด็กๆ ฟัง ในตอนเย็นหลังกินข้าว<br /></span></span><span style="color:#cc66cc;">นิทาน ประเภทวรรณคดีนี้ โดยมาก เป็นเรื่องราวทางจินตนาการ หรือเป็นเรื่องแต่ง แต่อาจมีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง เช่น ขูลูนางอั้ว ผาแดงนางไอ่ กำพร้าไก่แก้ว บักหูดสามเปา เป็นต้น<br />นิทานก้อม เป็น นิทานขนาดสั้น กะทัดรัด ซึ่งลักษณะพิเศษของนิทานก้อมคือ มีมุขตลก มุขขำขัน อยู่ในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเมื่อเล่าถึงจุดขำขัน หรือจุดปล่อยมุข นิทานก็จบเรื่อง หรือจบตอน นิทานก้อมนี้ ไม่ค่อยมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร มักจะถ่ายทอดโดยวิธีเล่าสู่กันฟัง ซึ่งสถานการณ์ ที่อำนวยให้เล่านิทานก้อมก็คือ เมื่อมีการรวมกลุ่ม หรือชุมนุมกัน เช่น หลังกินข้าวตอนเย็น ลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นต้น นิทาน ก้อม โดยมาก ต้นเค้าหรือที่มา มักจะมาจากเรื่องจริง ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แต่ที่เป็นเรื่องแต่งหรือคิดขึ้นเอง ก็คงมีบ้างเช่นกัน ตัวอย่างนิทานที่เข้าข่ายเป็นนิทานก้อม เช่น พ่อเฒ่ากับลูกเขย หลวงพ่อกับเณรน้อย เป็นต้น </span></div><div align="center"> </div><div align="center"><span style="color:#ffcc66;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก</span><a href="http://variety.siam55.com/data/6/0030-1.html"><span style="color:#ffcc66;">http://variety.siam55.com/data/6/0030-1.html</span></a></div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-35173486421816695072010-01-17T00:39:00.000-08:002010-01-17T00:41:09.307-08:00ภาษาอีสาน<div align="center"><span style="color:#ccccff;">ภาษาอีสาน<br /></span><br /><span style="color:#9999ff;">ถึงแม้ชาวอีสานจะมีภาษาพูดที่มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น แต่ในภาษาอีสานก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษณะของคำและความหมายต่างๆ ที่ยัง คงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอีสานต่างท้องถิ่นกันสามารถสื่อภาษาพูดของคนอีสานในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกับถิ่นใดรวมทั้งบรรพบุรุษของท้องถิ่นนั้นๆด้วย เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มีชายแดนติด กับเขมร สำเนียงและรากเหง้าของภาษาก็จะมีคำของภาษาเขมรปะปนอยู่ด้วย ทางด้านจังหวัด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เลย ที่ติดกับประเทศลาวและมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่ค่อนข้างมากก็จะมีอีกสำเนียงหนึ่ง ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ก็จะมีสำเนียงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและยังคงรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ตราบจนปัจจุบัน เช่น ชาวภูไท ในจังหวัดมุกดาหารและนครพนม</span><span style="color:#9999ff;"> </span></div><div align="center"><div align="center"><br /><span style="color:#6666cc;">สารกันได้เป็นอย่างดี<br />ถ้าจะถามว่าภาษาถิ่นแท้จริงของชาวอีสานใช้กันอยู่ที่ใดคงจะตอบไม่ได้ เพราะภาษาที่คนในท้องถิ่นต่างๆใช้กันก็ล้วนเป็นภาษาอีสานทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นภาษาที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีรากศัพท์ในการสื่อความหมายที่คล้ายคลึงกัน</span><br /><br /><span style="color:#6600cc;">ในปัจจุบันชาวอีสานตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นได้หันมาใช้ภาษาไทยกลางกันมากขึ้น เพราะวัยรุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาที่ดีเทียบเท่ากับคนในภาคกลางหรือกรุงเทพมหานคร ทำให้ภาษาอีสานเริ่มลดความสำคัญลง เช่นเดียวกันกับภาษาพื้นเมืองของภาคอื่นๆ แต่ผู้คนตามชนบทและคนเฒ่าคนแก่ยังใช้ภาษาอีสานกันเป็นภาษาหลักอยู่ ทั้งนี้คนอีสานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอีสานของท้องถิ่นตนเองและภาษาไทยกลาง หากท่านเดินทางไปในชนบทของอีสานจะพบการใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกันไปดังที่กล่าวมาแล้ว แต่คนอีสานเหล่านี้โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะสามารถสื่อสารกับท่านเป็นภาษาไทยกลางได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นชาวอีสานใหญ่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อก่อนจะไปหางานทำเฉพาะหลังฤดูทำนา แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่จะเข้ากรุงเทพฯและทำงานที่นั่นตลอดทั้งปี ชาวอีสานที่ไปต่างถิ่นนอกจากจะหางานทำแล้ว ก็ยังมีการเผยแพร่วัฒนธรรมรวมทั้งภาษาของตนเองไปในตัว จะเห็นได้จากในปัจจุบันชาวไทยจำนวนมากเริ่มเข้าใจภาษาอีสาน ทั้งจากเพลงลูกทุ่งภาษาอีสานที่ได้รับความนิยมกันทั่วประเทศและจากคนรอบตัวที่เป็นคนอีสาน ทำให้ภาษาอีสานยังคงสามารถสืบสานต่อไปได้อยู่ถึงแม้จะมีคนอีสานบางกลุ่มเลิกใช้</span> </div><div align="center"> </div><div align="center"><span style="color:#333399;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก </span><a href="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/language1.htm"><span style="color:#333399;">http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/language1.htm</span></a></div></div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-83530320488386398502010-01-17T00:19:00.000-08:002010-01-17T00:35:46.135-08:00การแสดงพื้นเมืองภาคอีสานการแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน<br /><br />แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ ๆ คือ<br />กลุ่มอีสานเหนือ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของลาว ซึ่งมักเรียกการละเล่นว่า “เซิ้ง ฟ้อน และหมอลำ” เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งโปงลาง เซิ้งแหย่ไข่มดแดง ฟ้อนภูไท เซิ้งสวิง เซิ้งบ้องไฟ เซิ้งกะหยัง เซิ้งตังหวาย ฯลฯ ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านประกอบด้วย แคน พิณ ซอ กลองยาวอีสาน โปงลาง โหวด ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง และ กรับ ส่วนกลุ่มอีสานใต้ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า “เรือม หรือ เร็อม” เช่น เรือมลูดอันเร (รำกระทบสาก) รำกระโน็บติงต็อง (ระบำตั๊กแตนตำข้าว) รำอาไย (รำตัด) วงดนตรีที่ใช้บรรเลงคือวงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่องดนตรี เช่น ซอด้วง ซอตรัวเอก กลองกันตรึม พิณ ระนาดเอกไม้ ปี่สไล กลองรำมะนา และเครื่องประกอบจังหวะ การแต่งกายประกอบการแสดงแต่งแบบวัฒนธรรมของพื้นบ้านอีสาน มีลักษณะลีลาท่ารำและท่วงทำนองดนตรีในการแสดงค่อนข้างกระชับ กระฉับกระเฉง รวดเร็ว และสนุกสนาน<br /><img src="http://www.lks.ac.th/thaidance/watana_kone_006.jpg" /><br /><br />การละเล่นพื้นเมืองภาคอีสาน<br />ภูมิประเทศภาคอีสานเป็นที่ราบสูง ค่อนข้างแห้งแล้งเพราะพื้นดินไม่เก็บน้ำ ฤดูแล้งจะกันดาร ฤดูฝนน้ำจะท่วม แต่ชาวอีสานก็มีอาชีพทำไร่ทำนา และเป็นคนรักสนุก จีงหาความบันเทิงได้ทุกโอกาสการแสดงของภาคอีสาน มักเกิดจากกิจวัตรประจำวัน หรือประจำฤดูกาล เช่น แห่นางแมว เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งสวิง เซิ้งกระติบ รำลาวกระทบไม้ ฯลฯลักษณะการแสดงซึ่งเป็นลีลาเฉพาะของอีสาน คือ ลีลาและจังหวะในการก้าวเท้า มีลักษณะคล้ายเต้น แต่นุ่มนวล มักเดินด้วยปลายเท้าและสบัดเท้าไปข้างหลังสูง เป็นลักษณะของ เซิ้ง ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ได้แก่ กลองยาว กรับ ฉาบ โหม่ง แคน โปงลาง<br /><br />ตัวอย่างการแสดงและการละเล่นพื้นบ้านอีสาน<br /><object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/ZbWyLZKh6_M&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/ZbWyLZKh6_M&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br /><br /><object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/S9J5pMFnoG0&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/S9J5pMFnoG0&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br /><br />ขอบคุณข้อมูลดีดี จากhttp://www.youtube.com/watch?v=S9J5pMFnoG0 และ http://show-organize.com/index.php?type=content&c_id=4174&ct_id=79096Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-73690149406842343052010-01-16T23:48:00.000-08:002010-01-17T00:16:44.752-08:00<div align="center"><br /><span style="color:#ffcccc;">ศิลปะเครื่องแต่งกายภาคอีสาน</span> </div><div align="center"><br /><span style="color:#ff6666;">ผ้าพื้นเมืองอีสาน<br />ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ<br /></span><br /><span style="color:#ff0000;">ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ<br />ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน<br />ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน<br /></span><br /><span style="color:#cc0000;">เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม<br /></span><br /><span style="color:#990000;">กลุ่มอีสานเหนือ<br /><br />เป็นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง และยังมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ เช่น ข่า ผู้ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสาน ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากฝ้ายและไหม แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกัยในแถบอีสานเหนือคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา</span><br /><br /><span style="color:#990000;"><span style="color:#660000;">ผ้ามัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่ใช้กรรมวิธีในการย้อมสีที่เรียกว่า การมัดย้อม (tie dye) เพื่อทำให้ผ้าที่ทอเกิดเป็นลวดลายสีสันต่างๆ เอกลักษณ์อันโดดเด่นก็อยู่ตรงที่รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามบริเวณของลวดลายที่ผูกมัด และการเหลื่อมล้ำในตำแหน่งต่างๆ ของเส้นด้ายเมื่อถูกนำขึ้นกี่ในขณะที่ทอ ลวดลายสีสันอันวิจิตรจะได้มาจากความชำนาญของการผูกมัดและย้อมหลายครั้งในสีที่แตกต่าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ</span><br /></span><span style="color:#993300;">การทอผ้ามัดหมี่จะมีแม่ลายพื้นฐาน 7 ลาย คือ หมี่ขอ หมี่โคม หมี่บักจัน หมี่กงน้อย หมี่ดอกแก้ว หมี่ข้อและหมี่ใบไผ่ ซึ่งแม่ลายพื้นฐานเหล่านี้ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เช่น จากลายใบไม้ ดอกไม้ชนิดต่างๆ สัตว์ เป็นต้น ผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เขตอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อำเภอบ้านเขวา จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น<br /></span><span style="color:#cc6600;">ผ้าขิด หมายถึงผ้าที่ทอโดยวิธีใช้ไม้เขี่ยหรือสะกิดซ้อนเส้นยืนขึ้นตามจังหวะที่ต้องการ เว้นแล้วสอดเส้นด้ายพุ่งให้เดินตลอด การเว้นเส้นยืนถี่ห่างไม่เท่ากันจะทำให้เกิดลวดลายต่างๆ ทำนองเดียวกับการทำลวดลายของเครื่องจักสาน จากกรรมวิธีที่ต้องใช้ไม้เก็บนี้จึงเรียกว่า การเก็บขิด มากกว่าที่จะเรียก การทอขิด ผ้าขิดที่นิยมทอกันมีอยู่ 3 ชนิด ตามลักษณะประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก คือ<br />ผ้าตีนซิ่น เป็นผ้าขิดที่ทอเพื่อใช้ต่อชายด้านล่างของผ้าซิ่น เนื่องจากผ้าทอพื้นเมืองจะมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดผืนผ้า ดังนั้นเวลานุ่งผ้าซิ่นผ้าจะสั้นจึงต่อชายผ้าที่เป็นตีนซิ่นและหัวซิ่นเพื่อให้ยาวพอเหมาะ<br />ผ้าหัวซิ่น ก็เช่นเดียวกันเป็นผ้าขิดที่ใช้ต่อชายบนของผ้าซิ่น</span><br /><span style="color:#ff6600;">ผ้าแพรวา มีลักษณะการทอเช่นเดียวกับผ้าจก แพรวา มีความหมายว่า ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายที่ทอเป็นผืนมีความยาวประมาณวาหนึ่งของผู้ทอ ซึ่งยาวประมาณ 1.5-2 เมตร<br />ผ้าแพรมน มีลักษณะเช่นเดียวกับแพรวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นิยมใช้เช่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวผู้ไทนิยมใช้โพกผม</span><br /><span style="color:#ff9900;">ผ้าลายน้ำไหล ผ้าลายน้ำไหลนี้ที่มีชื่อเสียงคือ ซิ่นน่าน (ของภาคเหนือ) มีลักษณะการทอลวดลายเป็นริ้วใหญ่ๆ สลับสีประมาณ 3 หรือ 4 สี แต่ละช่วงอาจคั่นลวดลายให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผ้าลายน้ำไหลของอีสานก็คงจะได้แบบอย่างมาจากทางเหนือ โดยทอเป็นลายขนานกับลำตัว และจะสลับด้วยลายขิดเป็นช่วงๆ<br />ผ้าโสร่ง เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้ชาย ลักษณะของผ้าโสร่งจะทอด้วยไหมหรือฝ้ายมีลวดลายเป็นตาหมากรุกสลับเส้นเล็ก 1 คู่ และตาหมากรุกใหญ่สลับกัน กว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 เมตร เย็บต่อกันเป็นผืน<br /></span><br /><span style="color:#ff9966;">กลุ่มอีสานใต้<br /><br />คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว<br /></span><br /><span style="color:#ffcc99;">ผ้ามัดหมี่ ในกลุ่มอีสานใต้ก็มีการทอเช่นเดียวกันนิยมใช้สีที่ทำเองจากธรรมชาติเพียงไม่กี่สี ทำให้สีของลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มไทยลาว แต่ที่เห็นเด่นชัดในกลุ่มนี้คือการทอผ้าแบบอื่นๆ เพื่อการใช้สอยกันมากเช่น<br /></span><span style="color:#ffff99;">ผ้าหางกระรอก จะมีสีเลื่อมงดงามด้วยการใช้เส้นไหมต่างสีสองเส้นควั่นทบกันทอแทรก</span><br /><span style="color:#ffff66;">ผ้าปูม เป็นผ้าที่มีลักษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ต่างจากถิ่นอื่น</span><br /><span style="color:#ffcc66;">ผ้าเซียม (ลุยเซียม) ผ้าไหมที่นิยมใช้ในกลุ่มผู้สูงอายุ</span><br /><span style="color:#ffcc33;">ผ้าขิด การทอผ้าขิดในกลุ่มอีสานใต้มีทั้งการทอด้วยผ้าฝ้ายและผ้าไหม แต่ส่วนมากมักจะใช้ต่อเป็นตีนซิ่นในหมู่คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี เพราะชาวบ้านทั่วไปไม่นิยมใช้กัน ลักษระการต่อตีนซิ่นของกลุ่มนี้นิยมใช้เชิงต่อจากตัวซิ่นก่อน แล้วจึงใช้ตีนซิ่นต่อจากเชิงอีกทีหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มไทยลาวอย่างเด่นชัด<br /></span><br /><span style="color:#99ff99;">ลักษณะผ้าพื้นเมืองอีสาน<br /></span><br /><span style="color:#66ff99;">ลวดลายผ้าพื้นเมืองอีสานทั้งสองกลุ่มนิยมใช้ลายขนานกับตัว ซึ่งต่างจากผ้าซิ่นล้านนาที่นิยมลายขวางตัวและนุ่งยาวกรอมเท้า ในขณะที่ชาวไทยลาวนิยมนุ่งผ้าซิ่นสูงระดับเข่าแต่ไม่สั้นเหมือนผู้หญิงเวียงจันทร์และหลวงพระบาง การต่อหัวซิ่นและตีนซิ่นจะต่อด้วยผ้าชนิดเดียวกัน ส่วนหัวซิ่นนิยมด้วยผ้าไหมชิ้นเดียวทอเก็บขิดเป็นลายโบคว่ำและโบหงายมีสีแดงเป็นพื้น ส่วนการต่อตะเข็บและลักษณะการนุ่งจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปจากภาคอื่นคือ การนุ่งซิ่นจะนุ่งป้ายหน้าเก็บซ่อนตะเข็บ ยกเว้นกลุ่มไทยเชื้อสายเขมรในอีสานใต้ ซึ่งมักจะทอริมผ้าเป็นริ้วๆ ต่างสีตามแนวตะเข็บซิ่น จนดูกลมกลืนกับตะเข็บและเวลานุ่งจะให้ตะเข็บอยู่ข้างสะโพก<br /></span><br /><span style="color:#33ff33;">การใช้ผ้าสำหรับสตรีชาวอีสาน</span><br /><br /><span style="color:#33cc00;">ผ้าซิ่นสำหรับใช้เป็นผ้านุ่งของชาวอีสานนั้นจะมีลักษณะการใช้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br /></span><br /><span style="color:#009900;">ผ้าซิ่นสำหรับผู้หญิงที่มีสามีแล้ว จะใช้ผ้าสามชิ้นมาต่อกันโดยแบ่งเป็นผ้าหัวซิ่น ผ้าตัวซิ่น และผ้าตีนซิ่น ผ้าแต่ละชิ้นมีขนาดและลวดลายต่างกัน<br />ผ้าหัวซิ่น จะมีขนาดกว้างประมาณ 20 ซม. ยาวเท่ากับผ้าซิ่น มีลวดลายเฉพาะตัว คือ ทอเป็นลายขวางสลับเส้นไหมแทรกเล็กๆ สลับสีสวยงาม<br />ส่วนตัวซิ่น คือส่วนกลางของผ้าซิ่นมีความกว้างมากกว่าส่วนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเท่าฟืมที่ใช้ทอ ซึ่งนิยมทอเป็นลายมัดหมี่<br />ส่วนตีนซิ่น คือส่วนล่างของผ้าซิ่นจะมีความกว้างเพียง 10 ซม. และยาวเท่ากับความยาวของผ้าซิ่น เมื่อต่อเข้ากับตัวซิ่นแล้วลายจะเป็นตรงกันข้ามกับผ้าหัวซิ่น ความงามอยู่ที่การสลับสีส่วนใหญ่จะเลียนแบบจากลวดลายของสัตว์ เช่น ลายงูทำเป็นลายปล้องสีเหลืองและดำ<br />ผ้าซิ่นสำหรับหญิงสาว จะเป็นผ้าซิ่นมัดหมี่เหมือนกันแต่เป็นผืนเดียวกันตลอด ใช้วิธีการมัดหมี่เป็นดอกและลวดลายติดต่อแล้วทอเป็นผืนเดียวกันตลอด ในผืนซิ่นจะมีลายที่ริมขอบด้านล่างในลักษณะเชิงซิ่นลวดลายส่วนใหญ่ทั้งตัวซิ่นและเชิงนิยมใช้ลายรูปสัตว์ เช่น ไก่ฟ้า หงษ์ทอง</span> </div><br /><br /><p align="center"><img style="WIDTH: 222px; HEIGHT: 283px" src="http://images.rajan9.multiply.com/image/28/photos/16/600x600/1/DSCF6243.jpg?et=RgW6v6zBgThXrAduqQrSYg&nmid=41141464" width="274" height="384" /><br />ชุดไทยเขิน<br /><img src="http://images.rajan9.multiply.com/image/15/photos/16/600x600/10/DSCF6399.jpg?et=uX6Miv09qCTfxM1rvAMVoQ&nmid=41141464" width="224" height="192" /><br />ผู้ไทกาฬสินธุ์<br /><img style="WIDTH: 229px; HEIGHT: 204px" src="http://images.rajan9.multiply.com/image/17/photos/16/600x600/11/DSCF6454.jpg?et=urN07ikCjiDHcSuhmga%2BCw&nmid=41141464" width="202" height="198" /><br />ผู้ไทสกลนคร<br /><img style="WIDTH: 228px; HEIGHT: 228px" src="http://images.rajan9.multiply.com/image/16/photos/16/600x600/12/DSCF6474.jpg?et=rK2yCYczfUUYf2e35OUb%2CA&nmid=41141464" width="255" height="598" /><br />ผู้ไทเรณูนคร </p><p align="center"><span style="font-family:georgia;color:#6600cc;">ขอขอบคุณข้อมูลดีดี จาก </span><a href="http://c.1asphost.com/jigko/entertain/dress_01.htm"><span style="font-family:georgia;color:#6600cc;">http://c.1asphost.com/jigko/entertain/dress_01.htm</span></a><span style="font-family:georgia;color:#6600cc;">,</span><a href="http://show-organize.com/index.php?type=content&c_id=4174&ct_id=79096"><span style="font-family:georgia;color:#6600cc;">http://show-organize.com/index.php?type=content&c_id=4174&ct_id=79096</span></a></p>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-91683298303862870692009-12-17T04:49:00.000-08:002009-12-17T04:54:56.538-08:00บ้านของคนอีสาน<div align="center"><span style="color:#663300;"><span style="font-size:180%;">บ้านของคนอีสาน<br /></span><br /><img src="http://www.thatphanom.com/webboard/photo/01mar071010030318186783120070301221718.jpg" /></span></div><div align="center"><span style="color:#663300;"></span></div><div align="left"><span style="color:#663300;">คนอีสานส่วนใหญ่จะมีวิถีชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายไม่หวือหวาอะไร เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับท้องทุ่งในฤดูทำนา หรือหมดไปกับการหาปลาในหน้าที่ปลาชุกชุม ด้วยเหตุที่ชาวอีสานส่วนใหญ่จะออกไปทำงานตามไร่นาหรือหาอาหารนอกบ้าน ไม่ค่อยมีเวลามาพิถีพิถันกับบ้านเรือนมากนัก สภาพบ้านเรือนของชาวอีสานจึงมีความเรียบง่ายแต่ก็มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ชาวอีสานส่วนหนึ่งโดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่นิยมที่จะอยู่ในกระท่อมริมทุ่งนามากกว่าที่จะมาอยู่ในหมู่บ้าน ทั้งนี้เพราะความสงบเงียบและอากาศที่เย็นสบายของท้องทุ่งช่างเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนัก ในปัจจุบันชาวอีสานจำนวนมากสร้างบ้านหลังใหญ่โตตามวัฒนธรรมสมัยใหม่ บ้านส่วนใหญ่สร้างจากอิฐและปูน(และไม้บ้าง)โดยมุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกระเบื้อง ผิดกับในอดีตที่บรรพบุรุษชาวอีสานนิยมสร้างบ้านด้วยไม้ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะไม้ไผ่ที่นำมาทุบให้แตกแล้วเอาสร้างบ้านทั้งเป็นผนังบ้านและเป็นพื้นบ้านด้วยแล้วมุงหลังคาด้วยหญ้าแฝก หรือใบตองที่นำมาสานกับรางไม้ไผ่ ซึ่งทุกวันนี้เราสามารถหาดูบ้านที่มีรูปแบบเช่นนี้ได้เฉพาะในชนบทที่ห่างไกล หรือตามงานเทศกาลตามจังหวัดต่างๆที่จะมีการนำบ้านแบบดั้งเดิมมาจัดแสดงให้ผู้คนรุ่นหลังๆได้ชมกัน สาเหตุที่ทำให้บ้านแบบดั้งเดิมของชาวอีสานแทบจะหายไปจากภาคอีสาน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหาไม้จะมาสร้างบ้านได้ยากกว่าในอดีต และบ้านแบบดั้งเดิมก็ไม่ค่อยมีความทนทานต่อสภาพอากาศมากนัก ส่วนกระท่อมที่มักจะเรียกกันว่ากระท่อมปลายนา(ชาวอีสานเรียกเถียงนาน้อย)ยังคงหาดูได้ทั่วไปทุกจังหวัดในภาคอีสาน (หากท่านขับรถไปตามถนนในภาคอีสานท่านจะต้องได้เห็นกระท่อมปลายนาของชาวอีสานแน่นอน) แต่ชาวนาไม่ได้นอนในกระท่อมปลายนาเหมือนในอดีตแล้ว ชาวนาจะใช้กระท่อมนี้เป็นที่หลบฝน รับประทานอาหาร ผักผ่อนช่วงสั้นๆ และเก็บวัสดุอุปกรณ์ในการทำนา หลังจากนั้นในตอนเย็นก็จะกลับไปพักยังบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านและกลับมาอีกครั้งในตอนเช้า เพื่อทำนา บางครั้งอาจจะนอนที่กระท่อมปลายนาบ้างก็เฉพาะพ่อบ้าน(เพื่อเฝ้าวัสดุอุปกรณ์และผลผลิตทางการเกษตร)ส่วนแม่บ้านและลูกๆจะนอนที่บ้านในหมู่บ้าน </span></div><div align="left"><span style="color:#663300;"></span> </div><div align="left"><span style="color:#996633;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก</span><a href="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/konisanindex.htm"><span style="color:#996633;">http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/konisanindex.htm</span></a></div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-39781911450068734322009-12-17T04:34:00.000-08:002009-12-17T04:48:41.747-08:00คนอีสาน<div align="center"><span style="color:#ff6600;">คนอีสาน<br /><br /><img src="http://learners.in.th/file/gingzz/0004521_full.jpg" /> </span></div><span style="color:#ff6600;"> ภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เพราะมีพรมแดนอยู่ติดกับหลายชาติอีกทั้งมีการอพยพของประชาชนจากถิ่นอื่นๆทั้งในและนอกประเทศมาตั้งรกรากอยู่ภาคอีสานเป็นเวลานาน บวกกับประชากรที่อาศัยอยู่เดิมที่ก็มีความหลากหลายมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษแล้ว ทำให้ยิ่งมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ประชากรที่ของภาคอีสานมีหลายเผ่าพันธุ์ ที่มีมากที่สุดก็คงเป็นชาวไทอีสาน คือชาวคนอีสานที่พบได้ทั่วไป(ในอดีตคงหมายถึงชาวอีสานที่อาศัยอยู่ในเมืองหรือชุมชนใหญ่ๆ--ผู้เขียน) และพบมากที่สุดในภาคอีสานเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอีสาน ชาวผู้ไทเดิมมาจากคำว่า พุไท หรือ วุไท ซึ่งหมาย ถึงคนเผ่าไทกลุ่มหนึ่งที่มีอยู่ในแคว้นสิบสอง วุไท และอาณาจักรล้านช้างมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาในภาคอีสานหลายครั้งและจากที่ต่าง ๆกันและแยกย้ายกันไปอาศัยอยู่ในส่วนต่างๆของพื้นดินอีสาน(ส่วนใหญ่เป็นอีสานตะวันออก) แถบจังหวัดสกลนคร นครพนม(ที่เด่นมากคือ ผู้ไทเรณู) และจังหวัดมุกดาหาร และชาวอีสานเผ่าอื่นๆอีกมากมายที่พบในเขตภาคอีสานซึ่งมีวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่น่าสนใจเป็นอย่างยี่ง </span><br /><span style="color:#ff6600;"></span><br /><span style="color:#ff6600;">ขอขอบคุณข้อมูล จาก </span><a href="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/konisanindex.htm"><span style="color:#ff6600;">http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/konisanindex.htm</span></a>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-53595110540225717892009-12-17T04:19:00.000-08:002009-12-17T04:32:31.824-08:00ภาคอีสาน<div align="center"><span style="font-size:180%;color:#00cccc;">ภาคอีสาน</span></div><div align="center"><span style="color:#00cccc;"></span></div><br /><p align="center"><span style="color:#00cccc;"><img src="http://img216.imageshack.us/img216/6749/mapnortheastdn1.gif" /></span></p><p align="left"><span style="color:#00cccc;"> ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือที่นิยมเรียกกันจนติดปากว่า ภาคอีสาน เป็นภูมิภาคที่มีความโดดเด่น มีความหลากหลายทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ด้วยขนาดของภูมิภาคที่กินพื้นที่กว่า 1 ใน 3 ของพื้นแผ่นดินไทย จึงทำให้ภูมิภาคแห่งนี้มีจำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศและมีความหลากหลายของเชื้อชาติประชากรอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นยังเป็นภูมิภาคที่มีปัญหาในด้านต่าง ๆ มากที่สุด เช่น ปัญหาความแห้งแล้ง ความยากจน การอพยพย้ายถิ่นของประชากรเพื่อหางานทำ ปัจจุบันปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไขไปบ้างแล้วทำให้ภาคอีสานทุกวันนี้มีความเจริญเท่าเทียมกับภาคอื่นๆ<br /> ประชากรในภาคอีสานส่วนใหญ่พูดภาษาไทยสำเนียงอีสานซึ่งมีความแตกต่างกันด้านสำเนียงในแต่ละท้องที่ หรือพูดภาษาท้องถิ่นของตนเองที่มีมากมายหลายภาษา แต่ประชากรส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวในปัจจุบันสามารถพูดสำเนียงไทยภาคกลางได้เป็นอย่างดี ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของตนคือหญิงมักจะนุ่งผ้าซิ่นทอ ด้วยฝ้ายมีเชิงคลุมเลยเข่าไปเล็กน้อย สวมเสื้อแขนสั้น ผู้สูงอายุมักตัดผมสั้นไว้จอน ส่วนผู้ชายไม่ค่อยมีรูปแบบที่แน่นอนนัก แต่มักนุ่งกางเกงมีขาครึ่งน่องหรือนุ่งโสร่งผ้าไหม อย่างไรก็ตามเครื่องแต่งกายดังกล่าวจะพบน้อยลง ในปัจจุบันประชากร วัยหนุ่มสาวจะแต่งกายตามสมัยนิยมอย่างที่พบเห็นในที่อื่น ๆ ของประเทศ แต่ก็สามารถหาชมการแต่งกายของชาวอีสานแบบดั้งเดิมได้ตามหมู่บ้านในชนบท ซึ่งประชากรส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ยังคงแต่งกายแบบดั้งเดิม อาชีพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือการเพาะปลูก พืชที่สำคัญคือ ข้าว มันสำปะหลัง ปอ ข้าวโพด ภาคนี้มีพื้นที่ทำนามากกว่าภาคอื่น ๆ แต่ผลิตผลที่ได้ต่ำ</span></p><p align="left"><span style="color:#66cccc;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก </span><a href="http://student.nu.ac.th/isannu/province/index.htm"><span style="color:#66cccc;">http://student.nu.ac.th/isannu/province/index.htm</span></a></p>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-3005304731269996052009-12-14T09:02:00.000-08:002009-12-14T09:15:18.459-08:00ประเพณีอีสาน<div align="center"><span style="color:#6600cc;">ประเพณีอีสาน </span></div><div align="left"><span style="color:#6600cc;"><br /></span></div><p align="center"><span style="color:#6600cc;"></span></p><div align="left"><span style="color:#6600cc;"><img style="WIDTH: 231px; HEIGHT: 277px" src="http://www.srisongkram.ac.th/~s18970/picture/clip_image001.jpg" width="171" height="316" /> <img style="WIDTH: 227px; HEIGHT: 185px" src="http://history48.exteen.com/images/normal_41580007.jpg" width="235" height="227" /><br /> ประเพณีของชาวอีสานมีความหลากหลายและมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ประเพณีส่วนใหญ่จะเกิดจากความเชื่อ ค่านิยม และสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่น และอิทธิพลของศาสนาที่มีต่อคนในท้องถิ่น ประเพณีต่างๆถูกจัดขึ้นเพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการประกอบอาชีพและเพื่อถ่ายทอดแนวความคิด ค่านิยมที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร เกิดจากการที่คนในท้องถิ่นนี้ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร เชื่อว่าการจุดบั้งไฟจะทำให้ผญาแถนดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม เพราะจังหวัดนี้ติดแม่น้ำโขงและใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงมาตลอด จึงอยากขอบคุณพระแม่คงคาประจำลำน้ำโขงที่ได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่สังคมริมฝั่งโขง ดังนั้นจึงจัดประเพณีไหลเรือไฟขึ้นมา<br />งานบุญงานประเพณีต่างๆที่ชาวอีสานในท้องถิ่นต่างๆจัดขึ้นนับว่าเป็นสื่อที่ดีในการถ่ายถอดแนวความ ค่านิยม ความเชื่อ ศาสนา วิถีการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพของผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ </span></div><div align="left"><span style="color:#6600cc;"></span></div><div align="left"><span style="color:#6600cc;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก<a href="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/festividx.htm"><span style="color:#6600cc;">http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/festividx.htm</span></a><br /></div></span>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-11374421532710142072009-12-14T08:56:00.000-08:002009-12-14T09:01:02.271-08:00ศิลปะอีสาน<div align="center"><span style="color:#ff99ff;">ศิลปะอีสาน </span></div><span style="color:#ff99ff;"><div align="center"><br /></div><div align="center"><br /><img src="http://student.nu.ac.th/isannu/picture3/banchiang376-2530.jpg" /></div><div align="center"> </div><div align="left"> ศิลปะของชาวอีสานมีพัฒนาการมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ดังจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆที่ค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นที่อุทยานประวัติศาสตร์บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี หรือถ้ำผ่ามือแดง จังหวัดมุกดาหาร ฯลฯ (ซึ่งบางแห่งเชื่อกันว่ามีความเก่าแก่ที่สุดในโลก) ล้วนแสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของชาวอีสานรู้จักใช้งานศิลปะพวกภาพและสัญลักษณ์ต่างๆเป็นตัวสื่อความหมายมาเป็นเวลานาน และยังรู้จักเลือกใช้สีและวัสดุที่มีความคงทนสามารถทนต่อสภาพดินฝ้าอากาศและการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดีตราบถึงปัจจุบัน ที่ยังคงบอกเรื่องราวการดำเนินชีวิตของบรรพบุรุษของชาวอีสานยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์หลายท่านพยายามศึกษาว่าคนยุคก่อนประวัติศาสตร์เหล่านี้ใช้สีที่ทำมาจากอะไรจึงสามารถคงทนได้นานเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถไขข้อสงสัยนี้ได้ เชื่อว่าในอนาคตไม่ช้านี้คงจะสามารถค้นพบความจริงที่เก็บซ่อนมาเป็นเวลายาวนาน และเมื่อถึงเวลานั้นเราอาจจะหันกลับไปใช้กรมวิธีเช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของเราเคยใช้ หลังจากที่เราใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มานาน นอกจากนี้การสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็นับเป็นหนึ่งในศิลปะที่ชาวอีสานภาคภูมิใจ บ้านเรือนของชาวอีสานสร้างสถาปัตยกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาดรุ่นบรรพบุรุษ เริ่มจากเถียงนาน้อย ค่อยๆกลายมาเป็นบ้านไม้ที่มีความคงทนถาวร จนในปัจจุบันเป็นบ้านก่ออิฐถือปูนเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังมีบ้านเรือนเป็นจำนวนมากที่ยังคงอนุรักษ์รูปแบบสถาปัตยกรรมอีสานโบราณไว้เป็นอย่างดี<br />สถานที่ที่เราจะสามารถชมศิลปะแบบอีสานได้ดีที่สุดคือตามศาสนสถานวัดวาอารามต่าง ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมในการทำกิจกรรมต่างๆของผู้คนในชุมชนมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล วัดวาอารามต่างๆล้วนได้รับการดูแลรักษาจากพระสงฆ์และคนในชุมชนเป็นอย่างดี ทำให้เป็นแหล่งสืบสานศิลปะอีสานที่มีมาแต่โบราณจนตราบถึงปัจจุบันยุคที่ผู้คน<span style="color:#ff99ff;">ชาวอีสานเริ่มลืมศิลปะที่ดีงามของตัวเองไปแล้ว</span></div><div align="left"><span style="color:#ff99ff;">-ขอบคุณข้อมูลจาก </span><a href="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/cultureindex.htm"><span style="color:#ff99ff;">http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/cultureindex.htm</span></a></span><span style="color:#ff99ff;">-</span></div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-85664260872017404232009-12-14T08:26:00.000-08:002009-12-14T08:50:18.057-08:00ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน<div align="center"><span style="color:#33cc00;">ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน</span><br /></div><p align="center"><img src="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/ttd1.jpg" /></p><p align="left"><br /><span style="color:#33ff33;">ภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมและประเพณี แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นแต่ละจังหวัด ศิลปวัฒนธรรมเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความเชื่อ ค่านิยม ศาสนาและรูปแบบการดำเนินชีวิตตลอดจนอาชีพของคนในท้องถิ่นนั้นๆได้เป็นอย่างดี สาเหตุที่ภาคอีสานมีความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมประเพณีส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจาก การเป็นศูนย์รวมของประชากรหลากหลายเชื้อชาติ และมีการติดต่อสังสรรค์กับประชาชนในประเทศใกล้เคียง จนก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมขึ้น เช่น ประชาชนชาวอีสานแถบจังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศลาว ประชาชนของทั้งสองประเทศมีการเดินทางไปมาหากัน ทำให้เกิดการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมและประเพณีระหว่างกัน ซึ่งเราจะพบว่าชาวไทยอีสานและชาวลาวแถบลุ่มแม่น้ำโขงมีศิลปวัฒนธรรมประเพณีที่คล้ายๆกัน และรูปแบบการดำเนินชีวิตก็มีความคล้ายคลึงกันด้วย รวมทั้งชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในช่วงสงครามเวียดนาม ก็ได้นำเอาศิลปวัฒนธรรมของเวียดนามเข้ามาด้วย ถึงแม้ปัจจุบันชาวเวียดนามเหล่านี้จะได้ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมของท้องถิ่นอีสาน (เพื่อให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น) โดยเฉพาะชาวเวียดนามที่เป็นวัยรุ่นในปัจจุบันได้รับการศึกษาที่ดีเหมือนกับชาวไทยทุกประการ จนแทบแยกไม่ออกว่าเป็นคนไทยอีสานหรือคนเวียดนามกันแน่ ส่วนใหญ่ก็จะเห่อวัฒนธรรมตะวันตก(เหมือนเด็กวัยรุ่นของไทย)จนลืมวัฒนธรรมอันดีงามของตัวเอง แต่ก็ยังมีชาวเวียดนามบางกลุ่มส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุยังคงยึดมั่นกับวัฒนธรรมของตนเองอยู่อย่างมั่นคง ท่านสามรถศึกษารูปแบบการดำเนินชีวิตแบบเวียดนามได้ตามชุมชนชาวเวียดนามในจังหวัดที่กล่าวมาแล้ว ส่วนประชาชนที่อยู่ทางจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ นครราชสีมา มีการติดต่อกันกับประชาชนชาวกัมพูชาก็จะรับเอาวัฒนธรรมของกัมพูชามาประยุกต์ใช้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ววัฒนธรรมประเพณีของคนทั้งสองเชื้อชาติก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวัฒนธรรมต่างๆ ก็มีความแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่นและแตกต่างจากภูมิภาคอื่นๆของไทยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งวัฒนธรรมทางด้านการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ซึ่งเราสามารถสังเกตรูปแบบวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวอีสานผ่านทางประเพณีต่างๆที่ชาวอีสานจัดขึ้นซึ่งสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมอีสานได้เป็นอย่างดี<br /></span></p><p align="left"><span style="color:#006600;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก</span><a href="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/cultureindex.htm"><span style="color:#006600;">http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/cultureindex.htm</span></a><img src="http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/mainisan.jpg" /> </p>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-11229333256299036532009-12-13T23:22:00.000-08:002009-12-13T23:24:59.505-08:00My แผน<iframe src="http://www.google.com/calendar/embed?src=pakarang1989%40gmail.com&ctz=Asia/Bangkok" style="border: 0" width="500" height="300" frameborder="0" scrolling="no"></iframe>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-82664711883294475322009-11-22T23:36:00.000-08:002009-12-13T22:51:27.193-08:00สถานทีท่องเที่ยว ใน จังหวัดอุดรธานี<p align="center"></p><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/pro_jak.jpg" /></span></div><span><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-family: arial; "><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม</span></span></div><span style="font-family:arial;"><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่กลางเมืองอุดรธานี พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และเจ้าจอมมารดาสังวาล ประสูติเมื่อ พ . ศ .2399 ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างประองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สำเร็จราชกาลมณฑลฝ่ายเหนือ (“ มลฑลอุดร ” ในสมัยต่อมา ) ระหว่าง ร . ศ . 112 ( พ . ศ . 2436) ทรงจัดว่างระบบการปกครองบ้านเมืองและรับราชกาลในหน้าทีสำคัญๆ ที่อำนวยประโยชน์ให้แก่ราชฏร อนุเสาวรีพระองค์ท่านนับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของชาวอุดรธานี จะมีพิธีบวงสรวงในวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี</span></div></span></span><p></p><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><p align="center"></p><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/wat_po.jpg" /></span></div><span style="font-family:arial;"><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">วัดโพธิสมภรณ์</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่ริมถนนโพศรี ต . หมากแข้ง อ . เมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นวัดที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาลที่ 5 โดยอำมาสย์ตรี พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร ( โพธิ เนติโพธิ ) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร โดยชักชวนราษฏรในหมู่บ้าน กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าวัดราชบพิตรถิตมหาสีมาราม โดยทรงประทานนามว่า “ วัดโพธิสมภรณ์ ” ให้เป็นอนุสรณ์แก่พระยาศรีนุริยราชวรานุวัตร ผู้สร้างวัดนี้ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์บูรพาจารย์ ฝ่ายกัมมัฏฐานด้วย</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div></span><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/chang_mung.jpg" /></span></div><span><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-family: arial; "><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ศาลหลักเมื่องอุดรธานี</span></span></div><span style="font-family:arial;"><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่บริเวณทุ่งศรีเมือง โดยถือเอาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2502 เวลา 08.09 น . เป็นฤกษ์งามยามดีทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณของพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม มาสถิต ณ เสาหลักเมือง ซึ้งทำด้วยไม้คูณ ใต้เสาหลักเมืองบรรจุแผ่นยันต์ แก้ว แหวน เงินทอง ต่างๆ มากมาย ต่อมาเมื่อวันนที่ 31 มกราคม 2538 ได้มีพิธีบวงสรวง ขออณุญาติก่อสร้างเสาหลักเมืององค์ใหม่ เป็นไม้มงคล ( ไม้คูณ ) จากอำเภอนายูง มาทำเป็นเสาหลักเมือง และตั้งอยู่ด้านหน้าของศาลหลักเมืองเดิม ซึ้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุราชกุมาร เสร็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดศาลหลักเมืองใหม่ของจังหวัด อุดรธานี เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2542</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div></span><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div></span><p></p><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/nong_prajak.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">สวนสาธารณหนองประจักษ์</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">อยู่ใจเขตเทศบาลนครอุดรธานี เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี เดิมเรียกว่า “ หนองนาเกลือ ” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง ต่อมาได้เปลียนชื่อเป็น “ หนองประจักษ์ ” เพื่อเป็นเกียรติประวัติ แก่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ก่อตั้งเมืองอุดรธานี ต่อมาในปี พ . ศ .2530 เทศบาลนครอุดรธานีได้ทำการปรับปรุงหนองประจักษ์ใหม่ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชลพรรษาครบ 5 รอบ โดยบริเวณตัวเกาะกลางน้ำได้ทำการจัดทำเป็นส่วนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดและทำสะพานเชื่อม ระหว่างเกาะมีน้ำพุ หอนาฬิกา และสวนเด็กเล่น แต่ละวันมีประชาชนเข้าไปพักผ่อน และออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมาก</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/mung_udon.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">พิพิธภัณท์เมื่องอุดรธานี</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่ริมถนนโพศรี ในอาคารราชินูทิศ ตั้งขึ้นโดยการนำของ นายชัยพร รัตนนาคะ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดธานี พิพิธภัณฑ์ เมืองอุดรธานี จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของเมือง อุดรธานีในด้านต่างๆ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ธรรมชาติ วิทยา ธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และศิลปวัฒนธรรม รวมถึงพระประวัติ และพระเกียรติคุณของกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ก่อตั้งเมืองอุดรธานี เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น . สอบถามลายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร . 042 2125 38</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/wat_mat_ma_wat.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">วัดมัชฌิมาวาส</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ชาวบ้านเรียกชื่อเดิมว่า “ วัดเดิม ” หรือ “ วัดเก่า ” เนืองจากในสมัยรัชกาลที่ 5 กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นที่วัดร้าง โดนหมากแข้ง และให้ชื่อว่า “ วัดมัชฌิมาวาส ” มีพระพุทธรูปปางนาคปรก ประดิษฐานอยู่ ซึ้งชาวบ้านเรียกว่า “ หลวงพ่อนาค ” เป็นที่เคารพสักการะของชาวอุดรธานี</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/udon_sun_sri.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">หมู่บ้านนาข่าและศูนย์หัตกรรมบ้านเม่น</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">อยุ่ในเขต อ . เมืองอุดรธานี ห่างจากตัวจังหวัดอุดรธานีประมาณ 16 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายอุดรธานี - หนองคาย (ทางหลวงหมายเลข 2 ) หมู่บ้านอยู่ทางขวามือ ตรงข้างโรงเรียนชุมชนนาข่า เป็นหมู่บ้านที่มีการทอผ้าขิดและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผ้าขิด ในราคมย่อมเยา</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">การเดินทาง มีรถประจำทางสายอุดรธานี - นาข่า ซึ้งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นได้ที่หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและตลาดรังษิณา</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/ang.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เพื่อการเกษตรการประมง และการจ่ายน้ำเพื่อผลิตน้ำประปา อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พื้นที่อ่างเก็บน้ำ ประมาณ 20,000 ไร่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม เหมาะสำหรับนังชมวิวทิวทัศน์ ภายในอ่างเก็บน้ำมีพระตำหนักของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ้งพระองค์เคยเสร็จมาประทับเกือบทุกปี เปิดให้เข้าชมสำหรับผู้สนใจ ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อน</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">การเดินทาง ตามทางหลวงสายอุดรธานี – หนองบัวลำภู ถึงกิโลเมตรที่ 108 เลี้ยวเข้าไป ประมาณ 9 กิโลเมตร</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/nong_sang_.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">วนอุธยานน้ำตกธารงาม</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่ตำบลหนองแสง ในเขตพื้นที่ป่าขุนห้วยสามทาก ขุนห้วยกองสี มีพื้นที่ 78,125 ไร่ ประกาศเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ . ศ . 2527 สภาพป่าทั่วไปบริเวณน้ำตกเป็นป่าเบญจพรรณ มีพันธุ์ไม้สำคัญๆ เช่น ตะแบก ประดู่แดง มะข้าโมง ชิงชัน กระบก ปริมาณน้ำในน้ำตกจะมีเพียงบางฤดูเท่านั้น จะมีน้ำมากในช่วงฤดูฝน</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">จุดเด่นที่น่าสนใจภายในวรอุทยานฯ มีหน้าผา ถ้ำที่สวยงาม และมีลานหินขนาดใหญ่ มีเนื้อที่กว้างขวาง มีก้อนหินใหญ่ตั้งวางเรียงรายและซ้อนกันอยุ่ที่จุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องล่างได้</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">สถานที่พัก วรอุทธยานนำตกธานงาม ไม่มีบ้านพักสำหรับบริการนักท่องเที่ยว หากนักท่องเที่ยวมีความประสงค์จะเดินทางไปพักแรมหรือทัศนศึกษาจะต้องนำเต็นท์ไปเอง สอบถามลายละเอียด โทร .04222 1725</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">การเดินทางอยู่ห่างจากอำเภอหนองแสง 6 กิโลเมตร สามารถใช้เส้นทางในการเดินทางได้ 3 เส้นทางได้แก่</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">เส้นทางแรก จากอุดรธานี – บ้านเหล่า - โคกลาด - หนองแสง ระยะทาง 35 กิโลเมตร</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">เส้นทางที่สองจากอุดรธานีไปบ้านคำกลิ้ง - บ้านตาด - หนองแสง ระยะทาง 30 กิโลเมตร</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">เส้นทางที่สาม จากอุดรธานี - ห้วยเกิ้ง - หนองแสง ระยะทาง 60 กิโลเมตร</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/pu_phon_lum.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ภูฝอยลม</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">เป็นแหล่งท่องเทียวเชิงนิเวศ อยู่ในเขตป่าวสงวนแห่งชาติพันดอน - ปะโคมีเนื้อที่ 192,350 ไร่ บนเทือกเขาภูพานน้อย เขตตำบลทับกุง ภูฝอยลมจัดเป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานมีแปลงกลูกสาธิต และสวนรวมพรรณไม้ป่า 60 พรรษามหาราชินี บริเวณจุดชมวิวสามารถมองเห็นทิวทัศน์ เมืองอุดรธานี มีบ้านพักไว้บริการ นักท่องเที่ยวสามารถตั้งแคมป์พักแรมได้ สอบถามลายละเอียด โทร .04224 6715,0 4291 0935-6</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">การเดินทาง ใช้เส้นทางอุดรธานี - เลย เลี้ยวเข้าแยกบ้านเหล่า กิโลเมตรที่ 9</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/bang_dung.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">บ้านคำชะโนด</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่ที่ ต . วังทอง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือ มีพื้นที่ราว 20 ไร่ ซึ้งมีน้ำล้อมรอบ สภาพคล้ายเกาะ มีดงต้นปาล์มชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวและต้นหมากขึ้นอยู่ เรียกว่า ต้นชะโนด เชื่อว่า มีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย คนสมัยก่อนเรียกที่นี้ว่า “ วังนาคินทร์คำชะโนด ” เชื่อกันว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กลางลง เป็นประตูสู่เมืองบาดาล ตามความเชื่อของชาวอีสานและชาวลาวเป็นที่อยู่อาศัยของพญาศรีสุธโธนาค ภายในสถานที่แห่งนี้มี ศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธนาค ให้กราบไหว้ ที่แปลกคือในดงชะโนด มีน้ำชับน้ำซึมอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เคยมีน้ำถ้วมเลย การเดินทาง ห้างจากตัวอำเภอเมืองอุดรธานี ประมาณ 101 กิโลเมตร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 22 ( อุดรธานี - สกลนคร ) เลี้ยวซ้ายเข้าทางอำเภอ บ้านดุง 84 กิโลเมตร ห่างจากตัวอำเภอบ้านดุง 17 กิโลเมตร</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/ho_nang_usa.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3,430 ไร่ ในเขตบ้านติ้ว ต . เมืองพาน อยู่ห่างจากตัวจังหวัดอุดรธานี 67 กิโลเมตร มาสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">พระพุทธบาทบัวบก ตั้งอยู่บริเวณทางแยกซ้ายมือ ก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯ สร้างขึ้นระหว่าง พ . ศ .2463-2477 รอยพระพุทธบาทมีลักษณะเป็นแอ่งลึกประมาณ 60 เซนติเมตร สลักลึกลงไปในหินยาว 1.93 เมตร กว้าง 90 เซนติเมตร ภายในพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตัวองค์เจดีย์เป็นทรงบัวเหลี่ยมคล้ายองพระธาตุพนม มีงานนมัสการพระพุทธบาทบัวบกในวันขึ้น 13-15 ค่ำเดือน 3 ของทุกปี</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">พระพุทธบาทหลังเต่า ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระพุทธบาทบัวบก มีลักษณะเป็นรอยพระพุทธบาทสลักลึกลงไปในหิน ใจกลางพระพุทธบาทสลักเป็นรูปดอกบัวกลีบแหลมนูนขึ้นมา อย่างเห็นได้ชัด และเนื่องจากพระพุทธบาทแห่งนี้อยู่ใกล้กับเพิงหิน ธรรมชาติรูปร่างคล้ายเต่า จึงได้ชื่อว่าพระพุทธบาทหลังเต่า</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ถ้ำและเพลิงหินต่างๆ ตั้งกระจายอยุ่ทั่วๆไปในบริเวณอุทยานฯ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ในระยะไม่ไกลนัก นอกจากนั้นยังมีลานหินที่สวยงามได้แก่ คอมม้าท้าวบารส หอนางอุสา บ่ำน้ำนางอุสา ภายในบริเวณอุทยานฯ มีศุนย์บริการนักท่องเที่ยวให้บริการข้อมูลของอุทยานฯ รวมทั้งแผนที่และเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวชมบริเวณอุทยานฯ ประวัติศาสตร์ภูพระบาท เปิดให้บริการทุกวันเวลา 08.00-16.30 น . สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 4252 1350-2</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/bang_chang.jpg" /></span><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/bang_chang2.jpg" /></span><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/bang_chang3.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้างเชียง</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่ที่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ กรมศิลปากรได้ทำการสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียง ระหว่างปี พ . ศ .2517-2518 จากการศึกษาหลักฐานต่างๆ ที่พบทำให้บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีอายุราว 5600-1800 ปี โดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO) ได้จดทะเบียนให้แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ ลำดับที 359 เมื่อเดือนธันวาคม 2535 ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเชีย ภายในพิพิธภัณฑ์ได้มีการแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ส่วนที่ 1 หลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกในประเทศไทยมีนิทรรศการถาวร ซึ้งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบตามชั้นดิน เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาการขุดค้นทางโบราณคดีและโบราณวัตถุ ซึ้งส่วนใหญ่เป็นภาชนดินเผาที่ฝังรวมกับศพ</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ส่วนที่ 2 อาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีเป็นอาคารที่จัดแสดง นิทรรศการบ้านเชียง ที่เคยแสดง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาและสิงค์โปร์ นิทรรศการ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ บ้านเชียงในอดีต แสดงโบราณวัตถุและหลักฐานที่ได้มาจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงและบ้านเชียงวันนี้ เป็นการแสดงถึงชีวิต ความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ ศิลปะพื้นบ้านของคนบ้านเชียงในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีห้องบรรยาย ฉายภาพยนต์ ภาพนิ่ง และการให้บริการการศึกษาต่างๆ</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ส่วนที่ 3 บ้านไทพวน ห่างจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง 700 เมตร เดิมเป็นบ้านของนายพจน์ มนตรีพิทักษ์ มอบให้กรมศิปลากร เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งโบราณสถานและได้มีการขุดค้นตามหลักวิชาการทางโบราณคดีได้พบ โบราณวัตถุอยู่เป็นจำนวนมาก</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">การเดินทาง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดอุดรธานี ประมาณ 55 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 22 ( อุดรธานี - สกลนคร ) เลยสี่แยกเข้าอำเภอบ้านดุงเล็กน้อย จะเห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์ทางด้านซ้ายมือ ตรงไปประมาณ 8.2 กิโลเมตร จะถึงพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร .0 4220 8340-1,0 4223 5273</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/nu_nugn_tour2.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">อุทยานแห่งชาตินายูง - น้ำโสม</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ตั้งอยู่ที่บ้านสว่าง หมู่ 2 ตำบลนายูง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี เป็นพื้นที่รอยต่อสามจังหวัดได้แก่ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย สภาพภูมิประเทศเป็นลักษณะภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน สูงจากระดับน้ำทะเล 200-500 เมตร มีภูเขาที่สูงที่สุดคือ ” ภูย่าอู่ ” สูงจาะระดับน้ำทะเล 588 เมตร สภาพป่าส่วนใหญ่ยังอุดมสมบรูณย์ เต็มไปด้วย พันธ์ไม้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะไม้เนือแข็ง ป่าแห้งนี้ นับเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญเช่น ห้วยน้ำโสม ห้วยตาดโตน สถานที่ทองเที่ยวน่าสนใจภายในอุทยานได้แก่</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">น้ำตกยูงทอง ตั้งอยู่บนสันเข้าภูพานและภูย่าอู่ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 500 เมตร มีลำน้ำไหลผ่านโขดหินสลับซับซ้อนสวยยาม ท่ามกลางความเขียวขจีของแมกไม้นาๆ พรรณ น้ำตกยูงทองเป็นน้ำตกขนาดเล็ก มี 3 ชั้น มีแอ่งน้ำสามารถลงเล่นน้ำได้ ในอดีตเคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและหากินของนกยูง จะได้เป็นที่มาของน้ำตกยูงทอง</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">จุดชมวิวผาแดง อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1,500 เมตร ตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติน้ำตกยูงทอง ผาแดงเป็นหน้าผาหินทรายที่สูงชัน มองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามเบื้องล่างได้ กว้างไกล ใกล้กับผาแดง มีหลืบถ้ำเล็กๆ ที่เคยเป็นที่วิปัสนากรรมฐานของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทางเดินศึกษาธรรมชาติน้ำตกยูงทอง เป็นทางเดินเท้าเพื่อศึกษาธรรมชาติที่อุทยานฯ จัดทำขึ้นเพื่อสื่อความหมายธรรมชาติแก่ผู้มาเยือน โดยได้จัดสื่อบรรยายลักษณะทางธรรมชาติตามเส้นทางเป็น ระยะๆ ผ่านน้ำตกยูงทอง น้ำตกตาดน้อย จุดชมวิวผาแดง ระยะทางประมาณ 2,000 เมตร</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">การเดินทาง จากจังหวัดอุดรธานีไปตามทางหลวงสาย อุดรธานี - หนองคาย 15 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไปอำเภอบ้านผือประมาณ 40 กิโลเมตร ผ่านอำเภอบ้านผือ เข้าเขตอำเภอน้ำโสม ไปทางอำเภอนายูง ประมาณ 15 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไป 2 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานฯ</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><img src="http://www.udon-city.com/tour_udon/pic/nu_nugn_tour3.jpg" /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ พุทธอุทยานมหารุกขปาริชาติภูก้อน</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;"><br /></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">อยู่ในวัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง เป็นเจดีย์ที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ จำลองรูปแบบโดยรวมของสถาปัตยกรรมองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม องค์มหาเจดีย์เป็นทรงลังกาประดับด้วยโมเสก ทองคำ สูง 25 เมตร ฐานโดยรอบเป็นรูปแปดเหลี่ยม แบ่งเป็น 2 ชั้น ภายในเจดีย์ตกแต่งด้วยหินอ่อนและหินแกรนิตด้านนอกอย่างงดงาม ซุ้มพระและองค์เจดีย์ ภายในเป็นรูปปั้นปิดทอง ประดับกระจก เพดานห้อง โถงชั้นบน</span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ติดดาว ไม้สักขนาดใหญ่ แกะสลักปิดทองผังเพรช และพลอย รัชเชียหลากสีจำนวนมากกว่าแสนกะรัต</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจาก </span><a href="http://www.udon-city.com/tour_udon/index.php"><span class="Apple-style-span" style="color:#FFCC66;">http://www.udon-city.com/tour_udon/index.php</span></a></div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-31560518638795569652009-11-15T23:05:00.000-08:002009-11-15T23:33:43.429-08:00internet.....origin<div align="center"><span style="color:#ff9900;">internet...start </span></div><div align="center"><span style="color:#ff9900;"></span></div><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 122px; CURSOR: hand; HEIGHT: 145px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:hmNgidpYzOnxWM:http://www.oknation.net/blog" border="0" /><br /><div align="center"><span style="color:#ff9900;"></span></div><div><span style="color:#ffcc33;"><span style="font-family:arial;">ย้อนกลับไปในปี 1969 ขณะที่โลกยังอยู่ในยุคสงครามเย็น สหรัฐและรัสเซียต่าง พยายามสะสมอาวุธนิวเคลียร์ให้มากกว่าฝ่ายตรงข้าม ความหวดกลัวสงคราม นิวเคลียร์มีผลให้กระทรวง กลาโหมแห่งประเทศสหรัฐอเมริการิเริ่ม การสร้าง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทางทหารและมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถจะสื่อสารกัน ได้แม้บางส่วนจะถูกทำลายโดยอาวุธนิวเคลียร์ จึงได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อวิจัย งานโครงข่าย คอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานในกองทัพชื่อว่า Advanced Research Projects Agency หรือที่เรียกย่อๆ ว่า ARPA เครือข่ายในขณะนั้นจึงมีชื่อว่า ARPANET </span></span></div><span style="color:#ffcc33;"><span style="font-family:arial;"><p align="center"><img style="WIDTH: 162px; HEIGHT: 119px" height="122" src="http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:72i6z61kWuWjJM:http://home.kku.ac.th/hslib/412141/internet/internet.gif" width="206" /></p><div>ต่อมา ARPA ก็ต้องพบกับปัญหาที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาของการสร้าง เครือข่าย คือคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันไม่สามารถเชื่อมต่อเข้ากันได้ เนื่องจากไม่ได้ ถูกสร้างโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน ดังนั้น ARPA จึงได้แก้ปัญหา โดยการสร้าง โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Transfer Protocol/Internet Protocol) เพื่อเป็นมาตรฐานในการติดต่อ และนำมาใช้สร้างเครือข่าย internetwork เพื่อแก้ปัญหาในการเชื่อมต่อระบบ และระบบนี้เองที่ต่อมาถูก เรียกสั้นๆ ว่า Internet (อินเตอร์เน็ต) และ โพรโตคอล TCP/IP ก็คือโพรโตคอลของอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันนั่นเอง</span> </div><div></span></div><span style="color:#ffcc33;"></span><br /><span style="color:#ffcc33;"><br /><div align="center"><span style="font-family:verdana;color:#6633ff;">ประวัติอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย</span></div><div align="center"><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#9999ff;">ประเทศไทยได้เริ่มเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ระหว่างมหาวิทยาลัยด้วยกัน โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเรียกกันว่า เนคเทค (NECTEC)<br /><img style="WIDTH: 157px; HEIGHT: 120px" height="148" src="http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:eVjSYeXrXzIQ4M:http://pirun.ku.ac.th/~b5011160" width="163" /><img height="115" src="http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:BHLeg1qPh2cGGM:http://4.bp.blogspot.com/_2c9QrS1edFo/SfaQWZVyNVI/AAAAAAAAAK0/8LuSYfvQ-6A/s320/Internet-Explorer-8-Beta.jpg" width="181" /><img style="WIDTH: 219px; HEIGHT: 113px" height="96" src="http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:MTLGRauMFnRLjM:http://learners.in.th/file/blackroad/learn-about-internet-marketing-services.jpg" width="219" /></div><p align="left">แรกเริ่มเดิมทีเป็นการใช้งานเฉพาะ E-mail หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มต้นจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อปี พ.ศ. 2530 ต่อมาเป็นสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างไทยกับออสเตรเลีย แต่ในขณะนั้นยังไม่มีการเชื่อมต่อกันอย่างโดยตรง (Online) ในปีต่อมาก็ได้เชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาเพิ่มขึ้นมาอีก 4 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง และกระทรวงวิทยาศาสตร์ นับจากนั้นอีกไม่นานก็ได้เชื่อมต่อกับสถาบันอุดมศึกษาที่เหลือ ซึ่งก็มีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น </span></span></p><span style="color:#33cc00;">ขอขอบคุณข้อมูลจาก</span><a href="http://61.19.69.9/~m312b48/m312-(17b)/INTERNET.htm"><span style="color:#33cc00;">http://61.19.69.9/~m312b48/m312-(17b)/INTERNET.htm</span></a><br /><br /><br /><div align="center"><span style="color:#33ccff;"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong>การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในประเทศไทย</strong></span> </span></div><div align="center"></div><p align="center"><span style="font-family:verdana;color:#00cccc;"><img src="http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:-_G4NlbXelxuTM:http://www.tru.ac.th/onlinelearning/webinternet/image/firefox_ie_desktop_800x600.jpg" /></p><div align="left"><br /> ผู้ใช้ในประเทศไทยยุคเริ่มแรกจนถึงปัจจุบันใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายเป็นสำคัญ (Fixed Line Access) โดยเริ่มตั้งแต่ผ่านสายโทรศัพท์พื้นฐานพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นใยแก้วนำแสงในปัจจุบัน Business Model บริการ อินเทอร์เน็ต ในอดีตประชาชนเข้าถึงโครงข่าย อินเทอร์เน็ต โดยการใช้คอมพิวเตอร์ต่อผ่านโทรศัพท์บ้าน โดยใช้โมเด็มเป็นอุปกรณ์โทรเรียกเข้าศูนย์ผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider: ISP) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Dial Up และคิดค่าบริการเป็นชั่วโมง การใช้ โมเด็ม โทรเรียกเข้าศูนย์บริการผ่านสายโทรศัพท์พื้นฐานดั้งเดิมจะมีอัตราการส่งข้อมูลที่ 28.8 kbps (28.8 กิโลบิตต่อวินาที) ซึ่งสาเหตุที่ทำความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้เพียง 28 kbps นั้น เนื่องจากว่าสายโทรศัพท์พื้นฐานตามบ้านเดิม เป็นโครงข่ายที่ทำจากลวดทองแดง ซึ่งจากคุณสมบัติทางกายภาพ (Physical Property) ของลวดทองแดงนั้น สามารถอนุญาตให้สัญญาณทางไฟฟ้า ที่มีความถี่ไม่เกิน 28 กิโลเฮิร์ซ หรือ 28 กิโลบิตต่อวินาทีเท่านั้นผ่านไปได้ แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีโมเด็มได้ถูกพัฒนาความเร็วข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล (Data Compression) สามารถส่งความเร็วได้สูงถึง 56 kbps และความหวังของผู้ใช้ อินเทอร์เน็ต หลายฝ่ายดูเหมือนจะจบลงด้วยข้อจำกัดอัตราการรับส่งข้อมูลเท่านั้นอยู่หลายปี อันเนื่องมาจากข้อจำกัดของโครงข่ายสายทองแดงเดิมที่มีอยู่ทั่วโลก ยุคอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง จู่ๆ ก็เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลผ่านสาย ทองแดง กันอย่างมากมายทั่วโลก โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงเทคนิคการส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์เดิมเข้าสู่ยุค Digital Subscriber Line หรือ DSL เป็น เทคโนโลยี ที่พัฒนาการรับส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ลวดทองแดงธรรมดา ให้สามารถเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงได้ทะลุขีดจำกัดด้านคุณสมบัติทางไฟฟ้าของสายทองแดง DSL สามารถรับส่งข้อมูล อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงได้ตั้งแต่ 5 Mbps จนกระทั่งถึง 100 Mbps อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบจากเทคโนโลยี โมเด็ม แบบเดิมตรงที่สามารถเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ได้ตลอดเวลา (Always o­n) โดยไม่จำเป็นต้องโทรเรียกเข้าศูนย์ผู้ให้บริการทุกครั้งและไม่นับชั่วโมงอีกต่อไป ทั้งยังสามารถใช้โทรศัพท์บ้านไปพร้อมกับการใช้ อินเทอร์เน็ต ได้อีกด้วย Business Model เปลี่ยนเป็นการเก็บค่าบริการรายเดือน<br /></div><div align="left"><span style="color:#cc0000;"></span> </div><div align="left"><span style="color:#cc0000;">ขอบคุณข้อมูลจาก</span><a href="http://learners.in.th/blog/toulek-2416/270674"><span style="color:#cc0000;">http://learners.in.th/blog/toulek-2416/270674</span></a></div></span></span>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-62481500588383246892009-11-15T22:50:00.000-08:002009-11-15T23:01:12.438-08:00my interesting<p align="center"><br /><img style="WIDTH: 294px; CURSOR: hand; HEIGHT: 279px" alt="" src="http://www.solcomhouse.com/images/reef0482.jpg" border="0" /></p><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjekUCMm-Ym8TvFQKO9MVmom9nsZU-izcW5UgsTR7cLSV6pMr418GUl-RWX7HDMuqYj3zibV3b5GW4-sPMcJKzAP00w9kDSUf8DLV2FbRRUs8ZukDktslROeW0ieUHoctfnF0ZuPgRrXD-u/s1600/coral_polyp_2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5404590965985966946" style="WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 199px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjekUCMm-Ym8TvFQKO9MVmom9nsZU-izcW5UgsTR7cLSV6pMr418GUl-RWX7HDMuqYj3zibV3b5GW4-sPMcJKzAP00w9kDSUf8DLV2FbRRUs8ZukDktslROeW0ieUHoctfnF0ZuPgRrXD-u/s320/coral_polyp_2.jpg" border="0" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoejPGTyCWhr6Zy76YXaZtevqgOyFGcsRAjaFO670M8Zxj7f3pPqYlOEqz8bXua2sw-wrYoYgUGLkIXsfC9IOxxqX04VNSdxA-E5Xv2R5jpWc3nd8sCtFn372Y4iij-OOX6FHFcvFy5vi3/s1600/pic0016[1].jpg"></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiotgtpvixnvLSyDJhV6hlqa_13b_vot__e7Fms-loIrsr2WnmYFuFnJZQLCwAB2LNuPal56L7ouxe7nx5jBiQztCemvOQnjOPa-xfszmHZ5200F_K-2mTGCvs43dkdOD9y3TuOH15h9wop/s1600/green_Wrasse_web[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5404590771109308210" style="WIDTH: 346px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiotgtpvixnvLSyDJhV6hlqa_13b_vot__e7Fms-loIrsr2WnmYFuFnJZQLCwAB2LNuPal56L7ouxe7nx5jBiQztCemvOQnjOPa-xfszmHZ5200F_K-2mTGCvs43dkdOD9y3TuOH15h9wop/s320/green_Wrasse_web%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /></div><br /><br /><br /><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqaOAppYSZGIxZClo3WNemVamv1FMaNv1RuO_H-msWhN-HDzuv76mZHXvwXq2ffx74nOFwEBoYuZsSAcy3N3oMRUgR05gyxOt47rjIYbGlyY1YWr2So0QEGIQ1P7jDfGIqXXzYnWqxJR-A/s1600/coral_reef_florida.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5404590764680323426" style="WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 148px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqaOAppYSZGIxZClo3WNemVamv1FMaNv1RuO_H-msWhN-HDzuv76mZHXvwXq2ffx74nOFwEBoYuZsSAcy3N3oMRUgR05gyxOt47rjIYbGlyY1YWr2So0QEGIQ1P7jDfGIqXXzYnWqxJR-A/s320/coral_reef_florida.jpg" border="0" /></a><br /></div><br /><br /><br /><div align="center"><span style="color:#9999ff;">What coral?</span><br /><br /><br /></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"><br /><br /></div>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4423178322513526057.post-84646525658882465552009-11-08T22:49:00.000-08:002009-11-08T22:59:46.927-08:00*Pakarang**Coral reef*<span style="color:#cc33cc;"><span style="color:#ffccff;">Pakarang</span> </span> มาจากคำว่า <span style="color:#ff9966;">"ปะการัง" ซึ่งเป็นสัตว์น้ำทะเลชนิดหนึ่ง </span><br /><br /><span style="color:#ff99ff;">Pakarang</span> เป็นชื่อของ <span style="color:#ffcc00;">เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ในปี พ.ศ.2537-2544</span><br /><br /><span style="color:#993399;"><span style="color:#cc66cc;">Pakarang</span> </span> เป็นชื่อของ <span style="color:#ffff00;"> นักเรียนหญิงโรงเรียนสตรีราชินูทิศ ในปี พ.ศ.2544-2549</span><br /><br /><span style="color:#6600cc;">Pakarang</span> เป็นชื่อของ <span style="color:#ffff99;">นิสิตหญิงคนหนึ่งของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในปี พ.ศ.2550-2553</span><br /><span style="color:#ffff99;"></span><br /><span style="color:#ff99ff;">.....Pakarang is a Flower of the sea.....and.....Pakarang is me.....</span>Pakarang_Dhttp://www.blogger.com/profile/13262357723159672608noreply@blogger.com0